วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

แมวบาลิเนส


แมวพันธุ์ Balinese 






ลักษณะประจำพันธุ์ แมวบาลิเนส


         เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากในการเป็นเจ้าของแมวพันธุ์ บาลิเนส ซักตัว คุณจะพูดถึงมันอย่างตื่นเต้นจนกว่าคุณจะหยุดก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยที่เดียวภายใต้ขนยาวนุ่ม สวยงามนั้น แมวพันธุ์บาลิเนสนั้นนิสัยก็ดีด้วย ถึงแม้ว่ามันจะมีลักษณะที่สง่างาม แต่มันก็สามารถทำให้เจ้าของรู้สึกเพลิดเพลินได้ ไม่ต่างจากตัวตลกในคณะละครสัตว์เลยทีเดียว ถ้าคุณต้องการจะวัดความฉลาดของมัน เพียงแค่จ้องเข้าไปในดวงตาสีแซฟไฟร์ที่สดใสแวววาวไปด้วยความกระตือรือล้น ความมีสุขภาพดี และความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นที่นิยมเท่ากับ แมวสยาม แต่ แมวพันธุ์นี้มีเสียงร้องที่ค่อยกว่าและนุ่มนวลกว่า การทำความสะอาดก็ง่ายดาย เพราะขนของมันไม่หนาเหมือนสัตว์ขนยาวทั่วไป

         โดยทั่วไป แมวบาลิเนส มีขนยาว เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ของแมวสยาม การที่ธรรมชาติให้สิ่งนี้กับแมวพันธุ์นี้นั้น ช่วยส่งเสริมความสง่างามของมันมากขึ้น ความยาวของขนนั้นเป็นข้อแตกต่างระหว่าง แมวสยาม และแมวบาร์ลิเนส ถึงแม้ว่าจะมีการพิสูจน์ว่าบางครั้งบางคราวในลูกของแมวสยาม 1 ครอก จะปรากฎลูกแมวที่มีลักษณะขนยาวซักตัว สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของนักเพาะพันธุ์มากมาย ไม่ต้องใช้ความพยายามในการโปรโมทแมวบาลิเนสนี้เลย เพราะความสวยงามน่ารักของมันแก่ผู้พบเห็น

         ทั้งนี้ มีการค้นพบแมวขนกึ่งสั้นกึ่งยาวครั้งแรกที่ อเมริกา แมวบาลิเนสมีลักษณะเหมือนแมวสยามคือแต้มสีที่ จมูก หูทั้งสองข้าง ขาทั้งสี่ และหาง แต่แมวบาลิเนส จะมีขนยาวเรียบ หัวเป็นรูปลิ่มค่อนข้างยาว มองจากด้านหน้า(รวมหูด้วย)จะเป็นรูปสามเหลี่ยม มองจากด้านข้างจมูกกับหน้าผากจะเป็นเส้นตรง หน้าผากไม่นูน หูค่อนข้างใหญ่ ฐานหูกว้าง ตารูปเมล็ด Almond ขนาดปานกลาง รับกับจมูกและหน้า ตาไม่เหล่ไม่เข สีตาเป็นสีน้ำเงินสดใส รูปร่างสูงยาว ขนาดตัวปานกลาง เส้นหลังตรง สะโพกไม่กว้างกว่าไหล่

          รูปร่างของแมว Balinese ตัวผู้อาจจะใหญ่และหนากว่าตัวเมียในบางส่วน อุ้งเท้าเป็นรูปไข่ หางยาว ขนหางยาวชี้ออกเหมือนขนนก ขนลำตัวยาวปานกลาง ละเอียด นุ่ม ไม่มีขนชั้นใน ขนยาวเรียบติดตัว ขนลำตัวอาจจะสั้นกว่าที่หางก็ได้ สีของแต้มมีอยู่ 4 สี คือ Seal point Chocolate point Blue point Lilac point

ลักษณะมาตราฐาน แมวบาลิเนส 


         ลักษณะมาตราฐานของแมวพันธุ์นี้ถูกกำหนดโดย Cat Fanciers’ Association โดยมีลักษณะดังนี้ หุ่นเพรียวยาว รวมไปถึง หัว ขา และหาง ขนยาวเรียวแหลมอ่อนนิ่ม และมีกล้ามเนื้อแข็งแรงซึ่งมีลักษณะคล้ายบรรพบุรุษของมันคือ แมวสยามนั้นเอง แต่มันก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในเรื่องของความยาวของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และลักษณะที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีขนหางที่ยาวปุยคล้ายขนนก

         เพราะ แมวบาลิเนส มีขนชั้นเดียว ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ขนยาวอื่น ๆ ทั่วไปซึ่งจะมีขนสองชั้นขนของแมวพันธุ์นี้จะวางตัวราบเรียบชี้ไปด้านหลัง และไม่ทำให้เสียรูปทรงของแมวพันธุ์นี้

         ลักษณะของสีจุดได้รับการรับรองโดย CFA ซึ่งสีจุดนั้นเป็นสีจุดของแมวพันธุ์สยาม

         ราคาของแมวบาลิเนสนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของแมวตัวนั้น ซึ่งสามารถทำให้ราคาสูงได้โดย ให้เข้าประกวดในงานต่าง ๆ เช่น Grand Champion, National หรือ Regional Champion

         ตามปกติแล้วนักเพาะพันธุ์จะขายลูกแมว อายุประมาณ 12-16 สัปดาห์ ซึ่งเป็นอายุที่เหมาะสม หลังจาก 12 สัปดาห์ ลูกแมวควรได้รับการฉีดวัคซีน และได้รับการส่งเสริมด้านร่างกาย สังคมและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และควรเลี้ยงในร่ม และมีพื้นที่ให้แมวได้ข่วน ซึ่งเป็นนิสัยธรรมชาติของสัตว์ประเภทนี้

         ข้อบกพร่องของแมวพันธุ์นี้ก็คือ ขาหลังอ่อนแอ มีการหายใจทางปากเนื่องจากสิ่งกีดขวางในช่องจมูก และบางตัวมีลักษณะที่ฟันบนและฟันล่างไม่สบกัน มีผลทำให้มีลักษณะคางยาวหรือคางสั้นกว่าปกติ ความหงิกงอของหาง นิ้วเกิน และ มีขนมากกว่าหนึ่งชั้น

ลักษณะสีขน แมวบาลิเนส  


         SEAL POINT: สีของลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง ตรงบริเวณท้องและอกจะมีสีที่อ่อนกว่าส่วนของลำตัว สีของจุดจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม เช่นเดียวกับสีของจมูกและอุ้งเท้า สีของตาเป็นสีฟ้าเข้ม

         CHOCOLATE POINT: สีของลำตัวเป็นสีงาช้าง สีของจุดเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสีของchocolateนม สีของจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีชมพู่ซินนามอน ตาสีฟ้าเข้ม

         BLUE POINT: สีของลำตัวสีขาวออกฟ้าอมเทา สีจะค่อย ๆ จางลงตรงบริเวณท้องและอก สีของจุดมีสีฟ้าเข้ม สีของจมูกและอุ้งเท้ามีสีเทาอมน้ำเงิน ตาสีฟ้าเข้ม

         LILAC POINT: สีของลำตัวเป็นสีขาวปลอด สีจุดจะมีสีเทาหรือชมพู สีของจมูกและอุ้งเท้าจะเป็นสีชมพูม่วง ตาสีฟ้าเข้ม

แมว พันธุ์อเมริกัน บ็อบเทล


แมว พันธุ์อเมริกัน บ็อบเทล (The American Bobtail) (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)



           อเมริกัน บ็อบเทล แมวพันธุ์นี้ มองในครั้งแรกคุณจะเห็นเหมือนเป็นบ็อบแคทธรรมดา แต่ถ้าหันมาเพ่งดูแล้วคุณก็จะเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งที่จะทำให้คุณหลงรักมันได้ในทันที แค่ได้สบตากับมันคุณก็จะรู้สึกตะลึงกับความน่ารัก ขนที่สะอาด ดูเป็นระเบียบ และอเมริกัน บ็อบเทล มักกระพริบตาให้ จนคุณอดไม่ได้ที่จะเข้าไปจับขนที่หนานุ่มและอุ้มมันขึ้นมา

           แต่ทันทีที่คุณเอื้อมมือไป มันจะยืนขึ้นและเหยียดตัวทำให้คุณได้เห็นร่างกายที่แข็งแรงและหางที่สั้นตามธรรมชาติ  ซึ่งแน่ใจได้เลยว่ามันมีความเป็นสัตว์ป่าอยู่ในตัว และเจ้าแมว อเมริกัน บ็อบเทล มันจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาคุณเพื่อเรียกร้องความสนใจและเมื่อ คุณอุ้มมันขึ้นมาก็จะต้องทึ่งในลักษณะท่าทางของมัน นอกจากนี้ ความฉลาดและความอ่อนโยนก็จะทำให้คุณรัก อเมริกัน บ็อบเทล มากที่สุด

           สำหรับรูปร่างและลักษณะนิสัยของ อเมริกัน บ็อบเทล มีตั้งแต่ขนาดกลางไปจนใหญ่ เป็นสัตว์ที่มีความเป็นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อและพละกำลังแข็งแรง ร่างกายยาวพอสมควรและมั่นคง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หางควรจะมองเห็นอย่างชัดเจนเหนือหลังเวลาที่มันตกใจและความยาวต้องไม่เกิน หัวเข่า หางที่ดีจะต้องเกือบตรงมีส่วนโค้งเล็กน้อย แมวพันธุ์นี้มีหัวเป็นรูปลิ่มแข็งแรงได้ขนาดและมีคิ้วที่เด่นชัดอยู่เหนือ ดวงตาคู่ใหญ่รูปร่างคล้ายอัลมอนด์ทำให้มันมีความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางก็แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและตื่นตัว

           ที่ปลายหูของเจ้าเหมียวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ถือว่าเป็นจุดเด่น ขนที่มีลักษณะเฉพาะโดยมีขนสั้นความหนาปานกลางและขนยาวที่ความยาวพอเหมาะ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและกันน้ำได้ ขนชั้นนอกจะหยาบส่วนขนด้านในจะคล้ายกับในกระต่ายซึ่งจะช่วยป้องกันตัวแมวจาก สภาพอากาศได้ เมื่อมันเคลื่อนไหวจะแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติในการเดินรวมทั้งลักษณะทาง กายภาพที่มีความคล้ายคลึงกับแมวป่า สัตว์พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตช้าโดยจะต้องอาศัยเวลา 2-3 ปีกว่าที่จะโตเต็มตัว ถึงแม้แมวพันธุ์นี้จะมีลักษณะของสัตว์ป่าแต่อุปนิสัยและการปรับตัวก็มีความแตกต่างกัน

ลักษณะนิสัยของ แมวพันธ์ อเมริกัน บ็อบเทล



           อเมริกัน บ็อบเทล เป็นแมวที่ใจดี น่ารัก และฉลาดอย่างมาก มันมีลักษณะนิสัยคล้ายสุนัข และรักเจ้าของมาก อเมริกัน บ็อบเทล สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่ยุ่งเหยิงหรือเงียบได้ ยีนของแมวพันธุ์นี้เป็นยีนเด่น ซึ่งจะต้องมีหางสั้นตามธรรมชาติเพื่อที่จะได้มีลูกแมวที่หางสั้นต่อไป ความยาวโดยเฉลี่ยของหางคือ1-4 นิ้ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ย โดยความเป็นจริงแล้วอาจจะสั้นหรือยาวกว่านี้ก็ได้

           นอกจากนี้ อเมริกัน บ็อบเทล จะผูกพันกับครอบครัว มันเข้าได้ดีกับสุนัขและสัตว์แปลกหน้าไม่ว่าจะมี4ขา หรือ 2 ขา คนขับรถบรรทุกมักจะให้มันนั่งไปเป็นเพื่อนเพราะมันจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี ถ้าฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ นักบำบัดทางจิตวิทยายังใช้มันในโปรแกรมการรักษาด้วย เพราะมันมีพฤติกรรมที่ดี ทั้งยังอ่อนโยนต่อผู้คนที่อยู่ในความทุกข์หรือเศร้าโศกเสียใจ นอกจากนี้มันเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของเด็ก ๆ อเมริกัน บ็อบเทล มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อคนทุกวัยและเหมาะที่จะเลี้ยงไว้ในครอบครัวเพื่อความเพลิดเพลิน

           อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ชอบเล่นเกมส์ เช่น ให้วิ่งไปคาบ, เล่นซ่อนหา ซึ่ง อเมริกัน บ็อบเทล เล่นได้เป็นชั่วโมง ๆ มันจะเรียกร้องให้เราเล่นเกมส์กับมันและจะไม่หยุดจนกว่าเราจะเล่นด้วย โดยพื้นฐานแล้ว อเมริกัน บ็อบเทล จะเป็นแมวเงียบ ๆ แต่มันจะตื่นเต้นและส่งเสียงต่าง ๆ เวลาดีใจ เราสามารถล่ามโซ่ อเมริกัน บ็อบเทล ได้ง่ายและมันชอบที่จะออกไปเดินเล่น แมวพันธุ์นี้ชอบวัตถุที่ขึ้นเงา เป็นประกายเพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเก็บกล่องเครื่องเพชรให้ดี ๆ

ประวัติ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล


           นอกเหนือจากคุณสมบัติเด่นที่กล่าวไปแล้ว แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ยังเป็นนักล่าที่เก่งกาจด้วยสัญชาตญาณในการเป็นนักล่าของมัน อเมริกัน บ็อบเทล มักจะช่วยจับแมลงที่บินภายในบ้าน มีรายงานว่าแมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล  ส่วนใหญ่สามารถเปิดประตูบ้านเองได้โดยยืนด้วยขาหลังและหมุนลูกบิดประตูด้วยอุ้งเท้า และลักษณะที่ดีของมันอีกอย่างก็คือขนของมันต้องการการแปรงน้อยมากหรือไม่ต้องการเลย

           ทั้งนี้ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล มีมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมามีชื่อเสียงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มันเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่เพิ่งจะได้รับการยอมรับจากสมาคม Cat Fanciers’ เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 2000 ว่าเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันมานานแล้ว และมีสายพันธุ์อยู่ทั่วโลกซึ่งเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่น่าภูมิใจของอเมริกา ลักษณะที่เหมือนแมวป่าบวกกับลักษณะนิสัยที่เชื่องที่น่าพอใจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เพาะพันธุ์ที่ได้ทุ่มเทเวลา ความพยายามและกำลัง กายเพื่อที่จะให้ได้พันธุ์ที่น่าทึ่งนี้ พันธุ์อเมริกัน บ็อบเทล จึงสามารถอ้างสิทธิ์ได้อย่างภาคภูมิใจว่าเกิดในอเมริกา

           การกำหนดราคาของ อเมริกัน บ็อบเทล ปกติจะขึ้นอยู่กับชนิด,ลักษณะที่เหมาะสม และสายเลือด ผู้เพาะพันธุ์ส่วนใหญ่จะเพาะพันธุ์ลูกแมวอายุระหว่าง 12-16 สัปดาห์ หลังจาก 12 สัปดาห์ ลูกแมวจะได้รับการเตรียมพร้อมและพัฒนาทางด้านกายภาพและสถานะทางสังคมซึ่งจำ เป็นต่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหม่,การแสดงหรือการขนส่งทางอากาศ การเลี้ยงไว้ในบ้าน,การทำหมันและจำกัดพื้นที่ให้พอเหมาะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีและมีความสุขของแมวพันธุ์นี้



ลักษณะทั่วไปของ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล


           มีขนาดตั้งแต่ขนาดกลางถึงใหญ่ สามารถสังเกตความเป็นนักกีฬาของมันได้จากลักษณะของกล้ามเนื้อและพละกำลัง ร่างกายมีความยาวปานกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแข็งแรงและมีไหล่ยื่นออกมา หางสั้นและสามารถเห็นได้เหนือหลังเวลามันตกใจโดยจะไม่ยาวไปถึงหัวเข่า พันธุ์นี้มีหัวที่แข็งแรง กว้างปานกลางเป็นรูปลิ่มโดยมีคิ้วที่เด่นเฉพาะตัวอยู่เหนือดวงตาโตคล้ายรูปอัลมอนด์ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางเป็นสิ่งที่แสดงถึงความฉลาดและความตื่นตัว โดยปกติตัวเมียจะมีสัดส่วนทีเล็กกว่าตัวผู้ ชนิดและลักษณะท่าทางจะมีความสำคัญมากกว่าขนาดตัว

           อเมริกัน บ็อบเทลล์ มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับสัตว์ป่าแต่มีอุปนิสัยใจคอและลักษณะนิสัยที่แตกต่างออกไป

            หัว : กว้างเป็นรูปลิ่มโดยไม่มีส่วนแบนหรือส่วนที่เป็นโดม ได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนของปากและจมูกยื่นออกมาอย่างพอเหมาะ โหนกแก้มเห็นได้ชัด มีหนวดวางอยู่บนแก้มที่อูม ส่วนโค้งระหว่างจมูกกับคิ้วบางและมีความยาวระหว่างคิ้วกับหูพอเหมาะ คิ้วสามารถเห็นได้ชัดบริเวณหน้าผากเป็นแนวเหนือตา ขอบของคิ้วจะอูมขึ้นรอบตา จมูกกว้าง ผิวหนังรอบจมูกจะใหญ่ คางแข็งแรงและกว้างได้แนวกับจมูกความกว้างของหัวและเหนียงที่คอจะเห็นได้ใจ ตัวผู้ที่โตเต็มที่แล้ว

           หู : มีขนาดปานกลาง ฐานกว้างมีขอบรอบๆหูบางอยู่ด้านบนสุดและด้านข้างสุดของหัว ขอบของหูยิ่งสูงยิ่งดี มีรอยสีเป็นรูปนิ้วอยู่ด้านหลังของหูหรือมีลายหรือลักษณะคล้ายแมวป่าเป็น ลักษณะที่ดี

           ตา : ตามีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ วางตัวอยู่ลึก มุมด้านนอกบางขึ้นไปถึงหู ตาสองข้างห่างจากกันพอเหมาะ คิ้วที่อยู่เหนือตาแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ

           รูปร่าง : ค่อนข้างยาว และแข็งแรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อกเต็มและกว้าง สะโพกบางใหญ่มีแผ่นไหล่ยื่นออกมาจากลำตัว สะโพกแข็งแรงและเกือบกว้างเท่าอก สีข้างหนา มีกล้ามเนื้อ มีลักษณะแบบนักกีฬา มีการเจริญเติบโตเต็มที่ช้า

           ขาและเท้า : ได้ขนาดกับร่างกาย มีความยาวพอเหมาะและมีกระดูกที่แข็งแรง อุ้งเท้าใหญ่และกลม มีปอยขนยาวที่นิ้วเท้า ขาหน้ามี 5นิ้ว ขาหลังมี 4นิ้ว

           คอ : มีความยาวปานกลางแต่อาจจะสั้นขึ้นกับลักษณะของกล้ามเนื้อ

           หาง : หางสั้น อาจตรง,เป็นส่วนโค้งเล็กน้อยหรือบิดงอเล็กน้อยหรือมีรอยขรุขระไปตามความยาว ของหาง หางอยู่ในแนวเดียวกับสะโพก มีฐานกว้าง แข็งแรงและทนต่อสัมผัส ไม่แข็งแต่ต้องยืดหยุ่นและไม่บิดจนไปทำลายธรรมชาติการเคลื่อนไหวของหาง หางที่ตรงจะได้รับการยอมรับกว่าหางที่งอ หางที่ตรงควรจะมีส่วนท้ายที่อูม

           ความยาวของหาง : จะต้องยาวพอที่จะเห็นได้ชัดเหนือส่วนหลังเวลาแมวตกใจ แต่จะต้องไม่เลยไปถึงหัวเข่า

           ขนสั้น :

           ความยาว : ปานกลาง หนาพอสมควร
           ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่นได้ดี ตรงปลายจะบาง
           ความหนา : มีขน 2 ชั้น ส่วนบนหนานุ่ม, ส่วนล่างอ่อนนุ่ม
           ความหลากหลาย : ขนสามารถสังเกตความแตกต่างได้ตามฤดู ขนอาจจะนุ่มขึ้น ความหยาบ ละเอียดหรือสีจางลง ตีนขนอาจจะมีสีเทามีลาย

           ขนยาว :

           ความยาว : ยาวปานกลาง หยาบเล็กน้อย ขนจะยาวเรียวบางลงบริเวณรอบคอสัตว์,สะดือและหาง
           ขนรอบคอ : บางนุ่ม
           ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่น
           ความหนา : ขน 2 ชั้น ตีนขนไม่หนามาก

           ความหลากหลาย : ขนสามารถเปลี่ยนไปได้ตามฤดูกาล อาจนุ่มขึ้น,หยาบละเอียด,สีจางลง ตีน ขนอาจมีสีเทา มีลาย

           พัฒนาการ : มีการพัฒนาร่างกายให้โตเต็มวัยช้า โดยร่างกายของแมวพันธุ์นี้จะค่อยๆเติบโตจนเต็มที่ตอนอายุได้ 3 ปี

           ข้อบกพร่อง : หาง ที่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปมีผลต่อการทรงตัวและลักษณะภายนอกของแมว หางที่บิดงอหรือขมวดเป็นปม หางที่แข็งไม่ยืดหยุ่นหรือวางตัวอยู่ต่ำ หางตรงแต่ส่วนท้ายไม่อูม ตากลม คางอ่อนส่วนปากและจมูกยื่นออกมาน้อยเกินไป

           ลักษณะที่ไม่ได้คุณภาพ : หางไม่ได้ขนาด ตาผิดรูป กระดูกเปราะ มีจำนวนนิ้วเท้าไม่ถูกต้อง

           สีและรูปแบบ : ทุกสีและทุกรูปแบบยอมรับได้ ไม่ค่อยยอมรับลักษณะที่มีลาย ลักษณะที่คล้ายแมวป่าเป็นที่ต้องการ

           สีตา : ทุกสีที่เป็นไปได้แต่ต้องไม่มีลักษณะที่แปลก ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตากับสีขน

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ประวัติแมวเมนคูน

ประวัติแมวเมนคูน

แมวเมนคูน
แมวเมนคูน

แมวเมนคูนเป็นแมวลูกผสมที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าเกิดจากแมวที่ผสมพันธุ์กันในอเมริกา 
มี การบันทึกกันไว้ว่า พระนางมารี อังตัวเน็ต พระราชินีของ พระราชาฝรั่งเศส ได้ส่งทั้งของและเจ้าพวกสัตว์เลี้ยง เช่น แมวเมนคูน ของพระนางไปก่อนล่วงหน้าก่อน ตอนที่พระนางเตรียมหนี จากพวกปฏิวัติในฝรั่งเศส เข้ามหาสมุทรแอตแลนติกไปอเมริกา
ต้น ชื่อที่เรียกว่า เมน นั้น เพราะแม่พันธุ์นี้ ได้พบกันครั้งแรกตอนที่มันมาขึ้นฝั่ง ที่รัฐ ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านอเมริกาเหนือคือ รัฐเมน ส่วนชื่อ คูน ท่อนหลังนั้นน่า จะมาจากพวงหาง ของเจ้าแมวพันธุ์ที่ว่าที่มีหางเป็นพวงเหมือนตัวแรคคูนที่มีอยู่ใน ทวีปอเมริกา

เจ้าแมวเมนคูน เป็นแมวที่ได้จากการผสมของตัวแรคคูน กับแมวบ้าน จึงมีชื่อว่า
" MaineCoon " ซึ่งมาจากชื่อเมือง Maine กับคำว่า Raccoon



ลักษณะโดยทั่วไปแมวเมนคูน

แมว เมนคูน เป็นแมวช่างสงบเสงี่ยม มีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง จัดเป็นแมวที่มีพละกำลังมากพันธุ์หนึ่งและมีลักษณะนุ่มนวล เป็นมิตรกับผู้คน 

ลักษณะประจำพันธุ์แมวเมนคูน

เป็น แมวที่มีลำตัวหนาหนักแน่น รูปร่างค่อนข้างใหญ่ ผิวขนคล้ายเชือกพันเป็นเกลียว( มองดูคล้ายแมวพันธุ์เปอร์เซีย ) มีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่น ขนยาวไม่มากนัก บางตัวอาจมีขนาดใหญ่น้ำหนักตัวถึง 13.5 กิโลกรัม
หัว มีขนาดกลาง หน้าเป็นเหลี่ยม ใบหน้าราบแบน แก้มอยู่ในตำแหน่งที่สูง มีโครงกระดูกแก้มใหญ่ มีหูใหญ่และเป็นแมวที่มีรูปร่างสูง ตายาวติดกับบริเวณช่องจมูก จมูกเล็ก ช่วงขาแข็งแรง เท้ากลมมน ขนยาวและมีน้ำหนัก ลักษณะขนที่มีน้ำมันในตัวจึงไม่ค่อยเปียกน้ำ ปลายหางขนหยาบ ขึ้นหนาแน่นรกรุงรัง แต่ขนไม่ยาวนัก
บริเวณ รอบลำคอ โคนใบหูขนมักพันเป็นกระจุก สีต้นตระกูลของแมวนี้ ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเงิน สีเหลือง ลูกนัยน์ตาเป็นรูปไข่ลาดเอียง ลูกนัยน์ตาสีเขียวเป็นประกาย

ลักษณะนิสัยของแมวเมนคูน


นิสัยของแมวจะมีความเป็นเด็กตลอดชีวิต ใบหน้ายังคงมีความเป็นแมวป่า มีแผงคอคล้ายสิงโต ฐานหูกว้างใหญ่ ปลายหูจะมีเส้นขนเป็นจะงอยออกมา มองจากด้านข้างลำตัวจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ขนกึ่งยาวไม่ฟูตั้งตกตามลำตัว เส้นขนใหญ่มีน้ำหนัก หางยาวมีวงเป็นปล้องเหมือนหางแรคคูน ถ้าเป็นสีลายเสือ จะต้องมีลายรอบวงหางตลอด ความยาวจากจมูกถึงปลายหางประมาณ 1 เมตร

สารที่เป็นอันตรายต่อแมว

พาราเซตามอล/แอสไพริน(acetaminophen/aspirin)
Antifreeze
Bleach
กรดบอริก(Boric acid)
Brake fluid
น้ำยาทำความสะอาด(Cleaning fluid and solutions)
น้ำยาดับกลิ่น(Deodorants)
ตัวดับกลิ่น(Deodorizers)
น้ำยาล้างพวกสบู่(Detergents)
ยาฆ่าเชื้อ(Disinfectants)
สี(Dye)
แว๊กขัดพื้น(Floor wax)
สารฆ่าเชื้อรา(Fungicides)
น้ำยาขัดเฟอร์นิเจอร์(Furniture Polish)
น้ำมันเบนซิน
ยากำจัดวัชชพืช(Herbicides)
ยาฆ่าแมลง(Insecticides)
ไลโซล(Lysol)
น้ำยาขัดโลหะ(Metal Polish)
Mineral Spirits
Mothballs
น้ำยาขัดเล็บและล้างเล็บ(Nail Polish & Remover)
สี(Paint)
น้ำยาล้างสี(Paint Remover)
น้ำยาล้างฟิมล์(Photographic Developer)
ยาฆ่าหนู/มด(Rat/Ant Poison)
แอลกอฮอร์(Rubbing Alcohol)
น้ำยาขัดรองเท้า(Shoe Polish)
เหยื่อดักหอยทาก/บุ้ง(Snail/Slug Bait)
Suntan Lotion
Tar
Windshield
Washer Fluid
Wood Preservatives

สารที่เป็นอันตรายต่อแมว
สารที่เป็นอันตรายต่อแมว


พืชที่เป็นพิษในแมว
             แมวเป็นสัตว์ที่ชอบกัดกินใบไม้ชนิดหนึ่งเหมือนกัน ในบางครั้งการกินใบไม้ หรือต้นไม้ที่ปลูกเป็นไม้ประดับอยู่ในบ้านทำให้แมวได้รับอันตรายได้ด้วยเหมือนกัน เนื่องจากมันเป็นพิษต่อแมว รายต่อไปนี้เป็นรายชื่อ พืชที่มักนิยมปลูกในบ้าน แต่เป็นพืชที่เป็นพิษ หรือเป็นอันตรายต่อแมวตั้งแต่ระดับที่ไม่รุนแรงจนถึงระดับที่มีความรุนแรง ขึ้นอยู่กับว่าแมวได้รับ หรือกินพืชนั้นเข้าไปในร่างกายมาก หรือน้อย อย่าลืมว่า แมวที่เคี้ยวกินพืชที่เราใส่ปุ๋ย หรือสารเคมี หรือยาฆ่าแมลงให้กับพืชนั้น มันอาจจะมีผลต่อแมวได้โดยตรง หรือโดยอ้อมก็ได้ หรือแมวอาจจะได้รับสารนั้นผ่านทางดินที่ใช้ปลูกพืชก็ได้ เราสามารถป้องกันแมวที่เราเลี้ยงไว้ในบ้านไม่ให้กัดกิน หรือเคี้ยวพืชที่เราปลูกประดับบ้านได้ด้วยการโรยสิ่งที่มีกลิ่นฉุน เช่น พริกไทย ที่ใบของต้นไม้ หรือถ้าแมวชอบที่จะขุดดินในกระถาง เราอาจจะหาตะแกรงมาปกคลุมดินบนกระถางป้องกันการขุดก็ได้ ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้แมวอยู่ใต้ต้นไม้เวลาไปขุด การกัดแทะจะลดลง หรือถ้าเป็นไม้ประดับที่แมวชอบไปกัด เราอาจจะปลูกต้นไม้นั้นในกระถาง หรือกระเช้า แล้วนำไปแขวนไว้ แมวก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ อาการของแมวที่เกิดจากความเป็นพิษของพืชมีได้ตั้งแต่ ชักและมีน้ำลายฟูมปาก มีอาเจียน จนอาจจะหมดสติถึงตายได้ : เมื่อพบว่าแมวมีอาการดังกล่าวควรรีบนำแมวไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อให้การรักษาอย่างรีบด่วน หรือถ้าพบว่าแมวกำลังกินพืชที่เป็นพิษอยู่ (เห็น) ให้รีบนำไปพบสัตว์แพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้แมวแสดงอาการออกมา

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข้อดีของการแปรงขนให้แมว

ข้อดีของการแปรงขนให้แมว

ข้อดีของการแปรงขนให้แมว
ข้อดีของการแปรงขนให้แมว


หากลองถามท่านเจ้าของแมวว่าเคยแปรงขนให้เจ้าเหมียวของคุณกันบ้างหรือเปล่า...?

คำตอบที่ได้อาจจะบอกว่าเคย บ้างและไม่เคยบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คำตอบว่าไม่เคยนั้นย่อมมีมากกว่าแน่นอนท่านที่ไม่เคยแปรงขนให้เจ้าเหมียว ก็อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีเวลา บางท่านก็อาจยังไม่รู้ว่าการแปรงขนให้เจ้าเหมียวมีประโยชน์อย่างมาก นอกจากจะได้ในแง่ของความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณกับเจ้าเหมียวแล้ว การแปรงขนให้เจ้าเหมียวยังเปรียบเสมือนเป็นการเช็คร่างกายเจ้าเหมียวไปในตัว อีกด้วย นอกจากนี้แล้วการแปรงขนให้กับเจ้าเหมียวยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง อาทิเช่น


การแปรงขนที่ดีและถูกสุขลักษณะนั้น เป็นการช่วยบำรุงรักษาขนให้มีประกายแววาวและทำให้ผิวหนังของแมวนั้นมีสุขภาพดี

การแปรงขนเป็นการป้องกันไม่ให้ขนหยาบกร้าน โดยเฉพาะในพันธ์ที่มีขนยาว ซึ่งจะเป็นได้ง่ายบริเวณปลายขน

การแปรงขนให้เจ้าเหมียวเป็นระเบียบเสมอนั้น จะกำจัดเส้นขนที่หลุดร่วงไปแล้วออกเป็นการป้องกันไม่ให้ขนพันกันเป็นกระจุก

ลดการสำลักขน ซึ่งเกิดจากการที่แมวเลียทำความสะอาดตัวแล้ว ขนที่หลุดร่วงเข้าไปในช่องปาก ทำให้เกิดการลำลัก ถ้าขนที่ติดอยู่ในลำคอนั้นไม่ได้นำออกมา ก็จะเป็นสาเหตุของอาการท้องผูกในเจ้าเหมียวได้อีกด้วย

ในขณะที่แปรงขนให้เจ้า เหมียวนั้น คุณยังสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ซึ่งอาจจะมีสะเก็ดแผลโรคผิวหนังจุดเล็ก ๆ หรือฝีเกิดขึ้น ก็เป็นการดีที่คุณจะได้รักษาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ก่อนที่มันจะลุกลามจนอาการหนัก

การที่คุณไม่แปรงขนให้เจ้าเหมียวเลย ก็จะมีข้อเสียตรงที่บ้านของคุณนั้นจะเกลื่อนไปด้วยเศษขนมากมาย และเสื้อผ้าของคุณก็ไม่เว้น

การแปรงขนนั้นยังเป็นการสร้างความรักและความผูกพันระหว่างคุณกับเจ้าเหมียวอีกด้วย

เห็นหรือยังว่าการแปรงขนให้ กับเจ้าเหมียวนั้น มีประโยชน์มากมายหลายข้อ ท่านใดที่ยังไม่เคยแปรงขนให้กับเจ้าเหมียว เห็นข้อดีมากมายอย่างนี้แล้วรีบไปหาแปรงมาแปรงให้เจ้าเหมียวกันเลย งานนี้รับรองได้ว่ามีแต่คุ้มกับคุ้ม

วิธีปฐมพยาบาลแมว

วิธีปฐมพยาบาลแมว

วิธีปฐมพยาบาลแมว
วิธีปฐมพยาบาลแมว


การปฐมพยาบาล

ในการปฐมพยาบาลเจ้าเหมียว สิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ได้แก่หมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ของโรงพยาบาลสัตว์ใกล้บ้าน ที่คุณจำเป็นต้องโทรไปนัดสัตวแพทย์ให้แน่ใจว่าเมื่อคุณไปถึงจะได้รับการช่วย เหลือทันที หากสงสัยว่าเค้าได้รับสารพิษ ควรนำตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ไปให้สัตวแพทย์ดูด้วย

สำหรับเหตุฉุกเฉินต่างๆที่มักพบบ่อยๆนอกจากการบาดเจ็บจากไฟไหม้มีดังนี้

แผลกัดกัน ซึ่งในแมวบาดแผลที่ผิวหนัง มักไม่ค่อยมีเลือดออกมากเหมือนผิวหนังสุนัข เว้นเสียแต่จะมีความเสียหายของหลอดเลือดขนาดใหญ่ ที่สำคัญคุณไม่ควรสัมผัสกับบาดแผลมากเกินไปเพราะจะยิ่งทำให้บาดแผลเกิดความ เสียหายมากขึ้น คุณเพียงแค่ช่วยห้ามเลือดให้เค้าโดยการใช้ผ้าสะอาดกดทับปิดบาดแผลและพันไว้ แล้วรีบพาไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

สารพิษ แมวอาจได้รับสารพิษที่มีอยู่ในบ้านทั้งทางปากและการสัมผัสผ่านของสารพิษเข้าทาง ผิวหนัง คุณควรจัดเก็บบ้านให้เรียบร้อย เป็นระเบียบ และควรระวังสารเคมีรุนแรง เช่น ยาฆ่าแมลง หกหล่นตามพื้น เพราะเค้าอาจะเดินเหยียบและได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยการเลียอุ้งเท้า หากพบว่าเค้าหมดสติ หรือมีอาการอ่อนเพลีย มีน้ำลายไหลเป็นฟอง ควรรีบใช้ผ้าผืนใหญ่พันห่อหุ้มตัวแล้วรีบนำส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด และที่สำคัญควรนำกระป๋องหรือฉลากไปให้สัตวแพทย์ด้วย จะเป็นประโยชน์ในการรักษา

สิ่งของติดคอ แมวที่มีนิสัยอยากรู้ อยากเห็น โดยเฉพาะลูกแมวอาจเป็นเหยื่อของภาวะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากมีกระดูก เชือก หรือสิ่งของอื่นๆติดคอ อาการที่พบคือ เค้าจะเอาเท้าเขี่ยปาก ปากอ้า น้ำลายไหล หรืออาจพบเค้านอนหมดสติหากมีการขัดขวางทางเดินอากาศอย่างสมบูรณ์ หากเป็นไปได้จะต้องมีผู้ช่วยจับเค้านอนตะแคงข้าง กดที่อกของเค้าด้วยมือทั้งสองข้าง และอย่าพยายามนำสิ่งแปลกปลอมออกเอง เพราะอาจะเป็นแผลครูดกับหลอดอาหารและลำไส้ ควรรีบนำส่งสัตวแพทย์ใกล้บ้านโดยด่วน

อาการชัก อาการชักมักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีการสั่นกระตุก ซึ่งเกิดจากการทำงาน ที่ผิดปกติของสมอง โดยที่สัตว์ไม่รู้สึกตัว มีปัสสาวะ และอุจจาระออกมา เราควรระวังการบาดเจ็บจากการชักโดยอาจเกิดการกระแทกขึ้นได้ ระวังการตกจากที่สูง และให้อยู่ห่างจากน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมจมูก หรือจมน้ำ และควรแยกสัตว์ตัวอื่นออกจากบริเวณ ระมัดระวังอย่าเอามือเข้าใกล้ปากของสัตว์เลี้ยง เพราะอาจเสี่ยงต่อการโดนกัด จากสัตว์ซึ่งเค้าไม่รู้สึกตัว เราควรที่จะจดระยะเวลาการชัก ความถี่ เวลาเริ่มและสิ้นสุด ซึ่งถ้าการชักนานเกิน 5 นาที ควรเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น หรือผ้าเปียก และรีบนำส่งสัตวแพทย์ ถ้าเค้าหมดสติ และหยุดหายใจ อาจช่วยนวดหัวใจ ดึงลิ้นออกมาข้างปากเพื่อไม่ให้ปิด หลอดลม ขณะส่งโรงพยาบาล

อาการช็อค หลังจากที่แมวได้รับอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเสียเลือดหรือถูกกระทบกระเทือนต่างๆ โดยไม่มีเลือดออกก็อาจทำให้เกิดอาการช็อคขึ้นได้ อาการช็อคสังเกตได้คือ การทรงตัวไม่อยู่ ปากและขาเย็น เหงือก ลิ้นและเปลือกตาด้านในซีดไม่มีเลือด ตัวเย็น บางตัวมีอาการหอบและกระสับกระส่าย อ่อนแรงลงปละอาจตายได้ สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ แก้ไขหาต้นเหตุของการช็อค เช่น เสียเลือดก็ต้องห้ามเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือด เช่น ให้แมวนอนหัวต่ำกว่าลำตัว เลือดจะไปเลี้ยงได้ดีขึ้นพร้อมทั้งนวดเฟ้นส่วนปลายเท้าเบาๆ พยายามรักษาความอบอุ่นของร่างกายโดยใช้ผ้าห่อตัวจากนั้นจึงนำส่งหมอ

แมวที่รวยที่สุดในโลก

แมวที่รวยที่สุดในโลก



อันดับ 1  แมวชื่อ Blackie - ‘Blackie’ เป็นแมวของผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อ Ben Rea ซึ่งใช้ชีวิตโดดเดี่ยวยามบั้นปลายอยู่กับแมวน้อยตัวนี้เท่านั้น ในปี 1988 Ben Rea ถึงแก่กรรมและยกทรัพย์สินทั้งหมดของเขาให้กับ Blackie  ทรัพย์สินก้อนนี้มูลค่ามหาศาลถึง $13 ล้านเหรียญ หรือ 390 ล้านบาท  ทุกวันนี้ Blackie อาศัยอยู่ใน mansion ของ Ben Rea พร้อมคนดูแลที่จัดหาอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมัน ส่วนทรัพย์สินทั้งหมดถูกลงทุนในมูลนิธิดูแลรักษาพันธ์แมว



อันดับ 2  แมวชื่อ Tommaso  - Maria Assunta  เศรษฐีนีชาวอิตาเลียน ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 และมีการเปิดพินัยกรรมที่เธอทำไว้  ณ สำนักงานของทนายความของเธอตั้งแต่เดือนตุลาคม 2009 ซึ่งเธอยังมีสุุขภาพปกติ พินัยกรรมของ Maria Assunta ยกทรัพย์ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอ ซึ่งมีทั้งเงินสด บ้าน และ villas อีกหลายหลังให้กับแมวพเนจรซึ่งหลงเข้ามาในบ้าน และเธอเลี้ยงไว้โดยตั้งชื่อว่า Tommaso  ทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่า $13 ล้านเหรียญหรือ 390 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกฎหมายอิตาลีไม่อนุญาตให้สัตว์รับมรดกโดยตรง ทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดถูกโอนให้อยู่ในการดูแลของมูลนิธิสัตว์ ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้กับ Tommaso

แมวทองแดงหรือศุภลักษณ์

แมวทองแดงหรือศุภลักษณ์


แมวทองแดงหรือศุภลักษณ์
แมวทองแดงหรือศุภลักษณ์


ในสายตาฝรั่งแล้วเข้าใจว่า แมวทองแดงเป็นแมวพม่า เนื่องจาก ปี พ.ศ. 2473 ดร.โจเซฟ ซ๊ ทอมสัน ชาวอเมริกัน ได้นำแมวตัวเมียสีน้ำตาลจากประเทศพม่ากลับไปที่ซานฟรานซิสโก แล้วนำไปจดทะเบียนที่อังกฤษ ตั้งชื่อว่า Burmese Cat หรือแมวพม่านั้นเอง และเป็นแมวพันธุ์หนึ่งที่มีคนเลี้ยงกันมากที่สุดในโลก แต่ในสายตาคนไทย ถือว่าแมวทองแดงเป็นแมวไทย เนื่องจากโครงสร้างและลักษณะนิสัยเป็นแบบฉบับของแมวไทย

มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น พม่าได้กวาดต้อนคนไทยจำนวนหนึ่งไปเป็นเชลยศึกที่พม่า และมีแมวทองแดงตามเจ้าของเข้าสู่เขตพม่าด้วย กอปอกับเป็นแมวชั้นสูงเช่นเดียวกับแมวไทยพันธุ์อื่นๆ พวกขุนนางพม่าจึงนิยมเลี้ยงกัน ครั้นพวกฝรั่งไปพบเข้าจึงเรียกเป็นแมวพม่าไป แมวทองแดงมีรูปร่างขนาดกลาง สง่า น้ำหนักพอประมาณ ขายาวเรียว ฝ่าเท้าอวบ หัวค่อนข้างกลมกว้าง สีขนออกสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีสนิม แต่จะมีสีเข้มมากขึ้นบริเวณส่วนหูและใบหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพัน เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็นชอบผจญภัย รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ชอบสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวกับคนแปลกหน้าแล้ว มันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร

ในปัจจุบันแมวชนิดนี้หายากมากในประเทศไทย แต่จะมีทั่วไปในอเมริกาและอังกฤษซึ่งเขาได้พัฒนาผสมพันธุ์กันจนได้แมวลักษณะสีอื่นๆ มากมาย

แมวโคราช

แมวโคราช


แมวโคราช
แมวโคราช


แมวไทยโคราชหรือแมวสีสวาด มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่อำเภอพิมาย นครราชสีมา โบราณเรียกว่า แมวสีดอกเลาหรือแมวมาเลศ เพราะมีสีคล้ายสีดอกเลา หัวจะออกเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และแบน มีคางและกรามที่แข็งแรง หูตั้ง หูใหญ่ เด่นอยู่บนหัว เป็นแมวที่แสดงออกถึงความเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เป็นแมวขนาดกลาง ขนสั้น สีสวาด นัยน์ตาสีเขียวสดใสเป็นประกาย ขณะที่ยังเป็นลูกแมวอยู่ตาจะเป็นสีฟ้า เมื่อโตจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด และเมื่อโตเต็มที่ตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีเหลืองอำพัน

ถือว่าเป็นแมวแห่งโชคลาภ ใช้ประกอบพิธีในการแห่นางแมวขอฝนเชื่อกันว่าสีขนคล้ายสีของเมฆอันเป็นที่มาของฝน อันสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวไรชาวนา ตาที่เป็นสีเขียวหรือสีเหลืองอำพันนั้น เปรียบเสมือนความเขียวขจีของกล้าข้าวในนา

ในอเมริกานินมและรู้จักแมวสีสวาดของไทยเป็นอย่างดี ด้วยเมื่อครั้ง นางยีน จอห์นสัน ติดตามสามีเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ได้นำแมวโคราชกลับไปอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2502 จากนั้นก็นิยมเลี้ยงกันมากไม่แพ้แมววิเชียรมาศ ขนาดมีการจัดตั้งสมาคมผู้นิยมเลี้ยงแมวไทยพันธุ์โคราชขึ้นในอเมริกาอีกด้วย

โรคในแมวชรา


แมวทั่วไปมีอายุเฉลี่ยอยู่กับเราได้ประมาณ 10 ปี ทั้งนี้ท่านจะต้องให้การดูแลรักษาเขาอย่างดีนะครับ แต่ก็เคยมีในบันทึกเหมือนกันว่าแมวบางตัวสามารถมีอายุยืนสูงสุดถึง 21 ปี !!! (ฝรั่งเขาว่า)
ในแมวชราทั้งหลายมักมีโรคสำคัญๆ ดังนี้

โรคในแมวชรา
โรคในแมวชรา

ไตวาย และโรคไตเรื้อรัง
อาการไตวายมักแสดงออกก็ต่อเมื่อ 70 เปอร์เซ็นต์ของประสิทธิภาพไตสูญเสียไป นั่นหมายถึงว่ากว่าจะรู้ก็สายเกินแก้เสียแล้ว เรามักพบอาการเตือนของโรคไต เช่น ฉี่บ่อยครั้งมาก กระหายน้ำ กินน้ำจุ ฯลฯ กรณีไตวายหรือโรคไตเรื้อรังไม่มีทางรักษาให้หายขาด เป็นเพียงการประทังชีวิตไปให้เกิดการรบกวนน้อยที่สุด
โรคตับ
โรคตับที่สำคัญในแมว เช่น ตับแข็ง ท่อน้ำดีอักเสบ ไขมันสะสมในตับ และอาจพบโรคตับอักเสบได้บ้าง อาการบ่งเตือนเช่น ดีซ่าน น้ำหนักลดลง ผอมแห้ง ไม่มีแรง อาเจียน หรือท้องร่วง ถ่ายเป็นน้ำ และเจ็บบริเวณช่องท้อง กรณีตับอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ สามารถรักษาให้หายได้
เบาหวาน
ราวกับคนเราที่มีอายุมากโอกาสเกิดโรคเบาหวานสูงขึ้น แมวก็เช่นกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แมวชราที่อ้วนมากๆ อาการเริ่มแรกคือน้ำหนักลด หิวน้ำบ่อย และฉี่บ่อย (คล้ายๆ โรคไต) โรคเบาหวานรักษาไม่หาย แต่สามารถควบคุมให้เป็นปกติได้โดยการใช้อินซูลิน เช่นเดียวกับคนเรา
ตับอ่อนอักเสบ
มีอาการสำคัญคือ เบื่ออาหาร ท้องร่วง และเจ็บปวดช่องท้อง โรคนี้รักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ก็ทำให้ถึงตาย
ไฮเปอร์ไธรอยด์
เกิดจากการที่ต่อมไธรอยด์ทำงานเกินกว่าปกติ แมวชราที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการน้ำหนักลดอย่างมาก และมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนสูง เช่น แมวชราทำตัวเหมือนแมวทารก ฯลฯ การรักษาด้วยยาสามารถช่วยได้พอสมควร
มดลูกอักเสบ มดลูกเป็นหนอง หรือฝีในมดลูก
แมวเพศเมียที่ไม่ได้ตอนหรือทำหมันมีอายุเกิน 6 ถึง 7 ขวบ อาจเกิดปัญหามดลูกอักเสบหรือมดลูกเป็นหนองหรือฝีในมดลูกได้ ทั้งนี้จะมีอาการแตกต่างกันไปเช่น ซึมรุนแรง น้ำหนักลด อาเจียร กระหายน้ำจัด ท้องป่อง อาจมีหนองไหลผ่านช่องคลอดออกมาให้เห็น วิธีดีที่สุดในรักษาคือ ผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออกเสีย
โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม
พบได้บ่อยครั้งเช่นกันในแมวชรา โดยที่จะแสดงอาการหายใจลำบากอย่างทันทีทันใด เหนื่อยหอบเมื่อเคลื่อนไหวหรือออกแรงจนบางครั้งแม้เดินไม่กี่ก้าวก็ออกอาการแล้ว อาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ท้องอืด ท้องผูกเฉียบพลัน และไม่สนใจอาหาร สำหรับรายรุนแรงแมวอาจแสดงอาการหมดความรู้สึกหรืออัมพาตของขาหลังทั้งคู่ หากได้รับการรักษาทันท่วงทีจากสัตวแพทย์จะสามารถช่วยประทังอาการและยืดอายุแมวเหล่านั้นต่อไป
โรคของระบบประสาท
มีโรคหนึ่งของแมวชราอันทำให้สมองนิ่ม (จะว่าสมองอ่อนก็ได้) และเสื่อมสภาพ ภาษาฝรั่งเรียก ENCEPHALOMACIA ผลก็คือ การทำงานของอวัยวะที่ใช้เคลื่อนที่เช่นขาทั้งสี่ไม่สัมพันธ์ และประสานกันรวมถึงความสับสนในสมองและจิตใจ แมวป่วยจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน อย่างไรก็ดีอาการที่แสดงออกเช่นนี้อาจมีสาเหตุอื่น เช่น เนื้องอกในสมอง และการติดเชื้อในสมองก็ได้
โรคหมอนรองกระดูกเสื่อมในแมวก็พบเช่นกัน รวมถึงโรคสมองขาดเลือดด้วย
ส่วนใหญ่แล้วมักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่พอจะดูแลให้เขาอยู่กับเราไปนานขึ้นเท่านั้นเอง
ถุงข้างก้นอุดตัน
แมวชรามักเกิดการสะสมของสารในถุงข้างก้นเป็นจำนวนมากจนทำให้เกิดความระคายเคือง แมวจะเลียหรือถูก้นกับพื้นจนเกิดอักเสบแดง โรคนี้รักษาได้ไม่ยากนักถ้ารีบพาไปพบสัตวแพทย์
เนื้องอก
แมวยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร โอกาสพบเนื้องอกมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว อาการและความรุนแรงขึ้นกับชนิดของเนื้องอก นับจากไม่แสดงอาการ และไม่ปรากฎก้อนเนื้อให้เห็นไปจนถึงแสดงอาการและก้อนเนื้อชัดเจน เห็นได้ด้วยตาเปล่า ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วถ้าแมวอายุมากๆ มันทนต่อการรักษาไม่ไหว อย่างไรเสียโปรดปรึกษาหมอเหมียวของท่านดูก่อนนะ

โรคติดต่อที่สำคัญในแมว


โรคติดต่อที่สำคัญในแมว

โรคติดต่อที่สำคัญในแมว

โรคไข้หัดแมว

โรคนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคลำไส้อักเสบติดเชื้อไวรัสในแมว เกิดได้ในแมวทุกอายุ สาเหตุของโรคนี้คือ เชื้อ parvovirus ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง โดยเฉพาะทางอุจจาระ ภาชนะใส่อาหาร น้ำ กรง หรือที่ขับถ่ายของแมว แมวทุกตัวควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ อาการที่พบคือ มีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน เม็ดเลือดขาวต่ำมาก เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย มีอาการขาดน้ำ อ่อนเพลีย ตัวสั่น และเดินไม่ตรง แมวอาจเสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์ และมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก โดยเฉพาะในกล่ามแมวที่ไม่ได้รับวัคซีน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้เมื่อลูกแมวอายุ 6-12 สัปดาห์และแดกระตุ้นซ้ำอีก 2-3 ครั้ง โดยห่างจากเข็มแรก 2-4 สัปดาห์ ควรฉีดกระตุ้นซ้ำเป็นประจำทุกปี


โรคหวัดติดต่อในแมว (Feline Herpes Virus)

หรืออีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดี Feline Rhinotracheitis Virus เชื้อนี้ทำให้เกิดโรครุนแรงกว่าเชื้อ Calicivirus โดยเฉพาะในลูกแมว เชื้อโรคจะมีระยะฟักตัว 2-6 วัน ต่อมาแมวจะซึม ไม่กินอาหาร มีไข้ จามมาก ตาแดง น้ำมูก น้ำตา น้ำลายไหล จากนั้นจะเปลี่ยนจากใสเป็นเขียวข้นหรือเหลือข้น ติดเกรอะกรัง ทำให้แมวหายใจลำบาก อาการรุนแรงถึงขั้นปอดบวมและตายได้ ในรายที่ท้องอาจแท้งได้เนื่องจากไข้สูง ในแมวเล็ก ๆ อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้


โรคหวัด-หลอดลมอักเสบ (Feline Calicivirus)

เป็นเชื้อที่ก่อนโรคได้ในแมวส่วนมาก อาการคือ มีน้ำมูก น้ำตาไหล เป็นแผลที่ช่องปากและลิ้น ซึมและเบื่ออาหาร มีไข้ในเวลาต่อมา แมวส่วนใหญ่จะเจ็บลิ้นและไม่กินอาหาร อาการจึงรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในลูกแมวอาจทำให้ปอดอักเสบ ในรายที่สภาพภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ปกติ เช่น ป่วยเป็นโรคเอดส์แมว มักจะป่วยเรื้อรังด้วยอาการช่องปากอักเสบ เหงือกอักเสบ และทอนซิลอักเสบ

โรคไข้หัดแมว (feline panleucopenia)




โรคไข้หัดแมว (feline panleucopenia) เป็นโรคติดต่อ ร้ายแรงชนิดหนึ่งในแมวและลูกแมว โรคนี้มักเกิดในลูกแมวและแมวเด็ก และพบว่ามีอัตราการตายสูงมาก อาจตายได้โดยทันทีแม้สัตว์ยังไม่แสดงอาการของโรค โรคหัดแมวมักเป็นกับแมวเล็ก แมววัยรุ่น ถ้าเป็นแล้วมักจะตาย และติดต่อกันได้รวดเร็ว

พบรายงานการเกิดโรคนี้มานานแล้ว ซึ่งสามารถพบในแมวทุกตระกูลไม่ว่าจะเป็น เสือ สิงโต แมวป่า หรือแม้แต่แมวบ้านทุกพันธุ์ นอกจากนี้ยังพบได้ในสัตว์ตระกูลอื่นๆ อีก เช่น สกั๊งค์ เฟอเร็ต มิ้งค์ แรคคูน ซึ่งโรคนี้ทําให้สัตว์มีอาการคล้ายเป็นหวัดและท้องเสีย ซึ่งมีอาการเหมือนโรคไข้หัดสุนัข จึงมีคนเรียกชื่อต่างๆ เช่น โรคไข้หัดแมว หรือโรคลําไส้อักเสบในแมว



สาเหตุ

1. โรคไข้หัดแมวนี้เป็นโรคที่ เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มพาร์โวไวรัส (feline parvovirus) มีผลต่อระบบทางเดินอาหารของแมว โรคไข้หัดแมวมีระยะการฟักตัวของโรค 2-7 วัน
2. แมวสามารถ ติดโรคไข้หัดแมวได้จากการติดต่อโดยตรงจากแมวป่วย โดยเฉพาะทางอุจจาระภาชนะใส่อาหาร น้ำ กรงหรือที่ขับถ่ายของแมว พื้นดินที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัส นอกจากนี้อาจเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้า ไวรัสไข้หัดแมวมีอยู่ตามธรรมชาติ ติดต่อจากแมวตัวหนึ่งไปยังตัวอื่นได้ ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย อาหาร หรือสัมผัสแมวตัวที่เป็นโรค ถ้าแมวบ้านออกไปสังคมกับแมวนอกบ้าน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไข้หัดแมวได้มาก
3. การแพร่โรคเกิดได้ง่ายขึ้น ระหว่างแมวที่เลี้ยงปนกันหลายๆตัว แมลงวันก็เป็นอีกพาหะสำคัญในประเทศแถบร้อน โดยพาเชื้อไวรัสไข้หัดแมวบินไปเกาะแมวตัวที่เป็นโรค สามารถแพร่กระจายให้เกิดการติดเชื้อได้
4. ถึงโรคหัดแมวจะติดต่อกันได้ง่าย แต่ไม่ต้องกังวลว่าเชื้อจะแพร่กระจายผ่านอากาศ หรือพัดพาไปตามลม ไวรัส หัดแมวแพร่เชื้อด้วยการสัมผัส แค่ไอ จาม เชื้อลอยในอากาศ ติดต่อไม่ได้ ไวรัสไข้หัดแมวไม่สามารถทนความร้อนได้ อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส ก็อยู่ไม่ได้ การดำรงชีวิตต้องอยู่ในที่ชื้น อยู่ในตัวกลางที่เป็นน้ำ น้ำมูก น้ำลายสัตว์ แต่ทนอยู่ในที่ร้อนและไม่ชื้นแฉะไม่ได้

อาการสัตว์ป่วย


1. แมวมีอาการซึม ไม่กินอาหาร ไข้สูง เพียงแค่หนึ่งวัน อาจจะเป็นอัมพาตขาทั้ง 4 ข้างเดินไม่ได้
2. โรคไข้หัดแมวนี้จะรุนแรงมาก ในแมวอายุน้อย โดยมีอาการที่สําคัญที่พบ คือ มี ไข้สูง อาเจียนท้องเสีย มีผลต่อการทรงตัวของลูกแมว และทําให้ลูกแมวตาบอดได้
3. เมื่อคลํา บริเวณช่องท้องจะเจ็บท้อง บางทีพบเป็นลําของลําไส้หนาตัว ภายในมีแก๊สและของเหลว
4. ตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวต่ำมาก จึงมีชื่อเรียกโรคนี้ว่า feline panleukopenia
5. ในลูกแมวโต เมื่อเกิดการติดเชื้อระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ ก็ จะอาการดีขึ้น แต่ แมวที่หายจากโรคใหม่ๆสามารถพบเชื้อไวรัสออกมากับอุจจาระได้หลายสัปดาห์ แมวเด็กส่วนใหญ่เป็นแล้วตาย ต่างกับแมวผู้ใหญ่เป็นแล้วโอกาสรอดมีมากกว่า แมวอายุมาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว พอจะมีภูมิต้านทานโรคอยู่บ้าง แต่แมวที่ไม่แสดงอาการโรคหัด ก็ไม่ได้หมายความว่าแมวตัวนั้นจะไม่มีเชื้อ แมวอาจได้รับเชื้อหัดอ่อนๆอยู่ในตัว ถึงจะไม่มีอาการ แต่ก็เป็นตัวกลางนำเชื้อแพร่ไปสู่แมวตัวอื่นได้เช่นกัน การสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่แมวที่เจ้าของเลี้ยง ต้องดูแลใกล้ชิด
6. ในแมวตั้งท้อง อาจแท้งลูกหรือลูกตายหลังคลอดได้
7. อาการอาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง และแห้งน้ำอย่างรวดเร็ว มักทำให้เจ้าของคิดว่าสัตว์โดนสารพิษ
8. ในกลุ่มแมว อายุน้อย ส่วนใหญ่จะตายอย่างรวดเร็ว อัตราการตายอยู่ระหว่างร้อยละ 25-90 แมวที่ป่วยเป็นหัด ถ้าเป็นแมวเด็กอายุ 6-8 อาทิตย์ จะเสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์ ยิ่งเป็นลูกแมวก็จะไม่มีภูมิต้านทาน ยิ่งน่าเป็นห่วง เมื่อติดเชื้อแล้วอาการเป็นหนักและเสียชีวิตได้ง่ายมาก

การติดต่อ


โรคไข้หัดแมวนี้เป็นโรคเฉพาะสัตว์ในตระกูลแมวเท่า นั้น ไม่เคยปรากฎมีรายงานว่าพบการติดต่อมาสู่คนแต่อย่างใด

การรักษา


1. พาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
2. โดยเฉพาะแมวที่ไม่กินอาหาร หรืออาเจียนท้องเสีย จะทําให้ร่างกายอ่อนเพลียทรุดโทรมมาก สัตว์อาจอยู่ในสภาพช็อคได้
3. รักษา ตามอาการและพยุงชีวิตให้สัตว์สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อโรคได้โดยการให้สาร น้ำทดแทน ขั้นตอนการรักษาหลักๆ คือ ทำให้แมวกินอาหารให้ได้ ต้องพยายามป้อนอาหาร พร้อมกับให้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคแทรกซ้อน การรักษาทำได้เพียงเท่านี้ จะรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแมวแต่ละตัว
4. พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
5. ฉีดยาระงับการอาเจียนและลดการทํา งานของลําไส้โดยการงดอาหารและน้ำ
6. วิตามินบีรวมโดยการฉีดเข้าทางเส้นเลือด

การป้องกัน


1. นำแมวไปฉีดวัคซีนป้องกัน เมื่อแมวมีอายุได้ 2 เดือน ฉีดวัคซีนซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 6 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี

2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความระมัด ระวังในการดูแลโรคระบาดในสัตว์ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ที่ใช้เป็น อาหารเพิ่มขึ้น
3. ในส่วนของผู้ เลี้ยงจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการนำสัตว์เลี้ยงของตนเองไปฉีดวัคซีนตาม ที่กำหนด และไม่เลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลย
4. ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมว จําหน่ายหลายยี่ห้อ และยังมีชนิดที่เป็นวัคซีนรวมอีกด้วย โดยสามารถใช้ป้องกันได้ทั้งโรคไข้หัดแมวและโรคไข้หวัดแมวไปพร้อมๆกัน วัคซีนโรคอื่นๆที่สำคัญในแมว มี 4 ชนิด โรคไข้หัดแมว โรคพิษสุนัขบ้า โรคลูคีเมีย หรือมะเร็งแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
5. ควรระวังแมวที่ยังไม่เป็นโรค โดยรีบแยกแมวป่วยออกจากแมวปกติตัวอื่นทันที เพราะโรคนี้เป็นได้กับแมวทุกอายุ
6. ทําความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจ แพร่ออกมากับอุจจาระปัสสาวะด้วยน้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรด์
7. เจ้าของแมวที่มีแมวตายด้วยโรคไข้หัดแมวไม่ควรนํา ลูกแมวที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนเข้ามาเลี้ยงอีก


คำแนะนำบางประการ


1. สัตว์ป่าตระกูลแมวและแมวทุกเพศทุกวัย ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน โดยใช้โปรแกรมเดียวกับแมวเลี้ยงดังนี้
โปรแกรมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมว
เข็มที่ 1 ฉีดเมื่อลูกแมวอายุ 2 เดือน
เข็มที่ 2 ฉีดเมื่อลูกแมวอายุ 6 เดือน
เข็มที่ 3 จากนั้นฉีดทุกปี โดยฉีดวัคซีนปีละเข็ม
2. ปกติจะฉีดวัคซีนในแมว ช่วงอายุตั้งแต่เดือนครึ่ง 2 เดือน ไปจนถึง 4 เดือน แมวที่ได้รับ วัคซีนจะมีภูมิคุ้มกันติดตัวไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงอายุ 6-7 เดือน อยู่ในช่วงเริ่มโต ถึง 1 ปีขึ้นไป ก็เรียกว่าโตเต็มที่ แมวจะมีภูมิคุ้มกันครบถ้วน ร่างกายแข็งแรง แมวจะเป็นโรคหัดหรือไม่ อยู่ที่ภูมิต้านทานในตัว ทั้งมีอยู่แล้วกับเสริมด้วยวัคซีน เมื่อมีโรคต่างๆเกิดขึ้นมา ร่างกายรับเข้ามาจะกำจัดได้ด้วยการสร้างภูมิสู้ จังหวะที่รับเชื้อโรค ถ้าร่างกายแข็งแรงก็สู้ได้ ในทางกลับกัน ถ้าร่างกายอ่อนแอก็แย่
3. แมวต่างประเทศ เปอร์เซีย ยุโรป นำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย วัคซีนทุกชนิดจำเป็นต้องให้ ถ้าไม่ให้มักจะไม่ค่อยรอด เพราะเป็นแมวที่มาอยู่ต่างถิ่น ต่างสภาพแวดล้อม แต่ก่อนที่จะนำเข้ามาเลี้ยง แมวต่างประเทศอาจจะนำเชื้อโรคแปลกใหม่เข้ามาด้วย ดังนั้น ก่อนนำเข้ามาต้องให้วัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า เป็นกฎหมายบังคับให้ต้องฉีดมาก่อนล่วงหน้าในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับโรคพิษสุนัขบ้า เพราะเชื้อไม่ได้ติดต่อระหว่างสัตว์กับสัตว์ แต่ยังติดไปถึงคนได้และอันตรายถึงชีวิต ปัจจุบันโรคในแมวที่พบหนักหนาถึงขั้นทำให้เสียชีวิต มีอยู่ไม่กี่โรค ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนตั้งแต่เล็ก

โรคของแมว



โรคของแมว


ความผิดปกติที่พบบ่อยในแมว     1. อาเจียน  การ อาเจียนในแมวอาจพบได้เป็นปกติในกรณีที่แมว รู้สึกไม่สบายตัว แล้วจึงไปกินหญ้าเพื่อให้อาเจียนออกมา แต่ถ้านอกจากนี้ หรือพบว่าแมวอาเจียนบ่อยมาก นั่นหมายถึงว่าเกิดความผิดปกติขึ้นแน่นอน การอาเจียนนั้นจะต้องเกิดหลังจากกินอาหารเข้าไปอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถ้าเกิดเร็วกว่านั้นมักจะเรียกว่าการสำรอก ซึ่งจะมีสาเหตต่างกัน

สาเหตุ ของการอาเจียน :แบ่งได้ 3 สาเหตุใหญ่ๆคือ การติดชื้อภายในร่างกาย ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร และความผิดปกติในระบบการทำงานของร่างกายนอกเหนือจากทางเดินอาหาร

          สำหรับการวินิจฉัย : จำเป็นจะต้อง ใช้การตรวจเลือด การเอ็กซเรย์ หรืออาจจะต้องใช้กล่องตรวจภายใน ดังนั้นท่านเจ้าของไม่ควรนิ่งนอนใจเมื่อแมวของท่านเกิดอาเจียนขึ้นมา

     2. ท้องเสีย  อาการท้องเสีย หรือถ่ายเหลวสามารถพบได้บ่อยในแมว สามารถแบ่งลักษณะการท้องเสียตามอาการและความรุนแรง ได้ 3 ประเภทใหญ่คือ

          - ถ่ายเหลวเป็นน้ำ สาเหตุมักเกิดจาก อาหาร การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ป่วยด้วยโรคอื่นๆ
          - ถ่ายเหลวเป็นเมือก มักเกิดจาก พยาธิ และปาราสิตบางชนิด
          - ถ่ายเหลวเป็นเลือด มักเกิดจากมีบาดแผลในลำไส้ พยาธิ ปาราสิตบางชนิด ไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด สำหรับความรุนแรงของโรคนั้นมีตั้งแต่ป่วยเล็กน้อย จนถึงตาย ดังนั้นเมื่อมีอาการท้องเสียควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษา ที่ถูกต้อง

     3. น้ำลายไหล  เมื่อแมวมีอาการน้ำลายไหลออกมามากเกินไป อาจจะมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น แพ้ยาหรือสารเคมีบางอย่าง ติดเชื้อไวรัสบางชนิด กินยาเบื่อหนู ความรุนแรงอาจจะถึงตายได้ดังนั้นควรนำไปพบหมอเพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาโดยด่วน

     4. ไอ  แมวที่มีอาการไอ มักจะมีปัญหาที่หลอดลม หรือปอด อาจจะเกิดจากสาเหตุของการติดเชื้อ ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด การวินิจฉัยที่ได้ผลมักจะต้องเอ็กซเรย์ หรือต้องใช้กล้องตรวจภายในส่องดู บางทีอาจจะต้องเช็คเลือดด้วย

     5. จาม  บางตรั้งแมวที่มีสุขภาพแข็งแรงดีก็อาจจะจามได้ เมื่อรู้สึกระคายเคืองที่จมูก แต่ถ้าการจามนั้นบ่อย หรือร่วมกับการมีน้ำมูก นั่นแสดงว่าป่วยซะแล้ว สาเหตุอาจเกิดจากแบคทีเรีย หรือไวรัส ต้องพาไปตรวจก่อนจะสายเกินไป ไม่งั้นอาจจะลุกลามจนทำให้เป็นปอดบวมได้

     6. ท้องผูก  แมวพันธุ์ขนยาวมักจะมีปัญหาท้องผูกอยู่เสมอ เพราะมักจะเลียกินเศษขน เข้าไปจนไปอุดตันในลำไส้ นอกจากนี้แมวที่มีปัญหาเรื่องเชิงกรานแคบก็จะมีปัญหาเรื่องท้องผูกอยู่ เหมือนกัน การวินิจฉัย: จะใช้การคลำร่วมกับ การถ่ายภาพเอกซเรย์

          การป้องกัน : จะต้องให้แมวกินอาหารที่มีกากเยอะๆจะได้ช่วยในการขับถ่ายได้ง่าย นอกจากนี้ก็จะมีผลิตภัณฑ์ สำหรับป้องกันการท้องผูกขายอยู่ด้วย

     7. ฉี่ไม่ออก   อาการฉี่ไม่ออก มักพบได้บ่อยในแมวตัวผู้มากกว่าตัวเมีย เพราะตัวผู้มักจะมีเศษไขมันที่เกิดในทางเดินปัสสาวะไปอุดตันที่ปลายท่อทำให้ ฉี่ไม่ออก เมื่อคลี่ปลายท่อปัสสาวะก็จะสามารถพบเศษไขมันนั่นได้ เจ้าของสามารถดึงเอาออกได้ เองแต่ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาหมอ

          สำหรับสาเหตุอื่นๆ : อาจจะเกิดจากความผิดปกติของไต นิ่ว เป็นต้น

          การวินิจฉัย: มักจะใช้การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการเอ็กซเรย์ ไม่ควรปล่อยให้แมวอั้นฉี่ไว้นานเพราะจะมีผลต่อการทำงานของไต และระบบอื่นๆในร่างกายได้ ควรรีบนำแมวไปให้หมอตรวจหากพบว่าแมวพยายามฉี่ แต่ฉี่ไม่ออกอยู่หลายครั้ง

     8. ฉี่เป็นเลือด   อาการฉี่เป็นเลือด เป็นอาการที่ไม่ค่อยดีนัก สาเหตุมักจะเกิดจากนิ่ว การติดเชื้อ เป็นต้น ไม่ควรนิ่งนอนใจควรพาแมวไปพบหมอโดยด่วน เพราะอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้


โรคพยาธิหนอนหัวใจ
โรคพยาธิหนอนหัวใจในแมวคืออะไร     โรคพยาธิหนอนหัวใจในแมวมีความรุนแรงและสามารถทำให้แมวป่วยตายได้ โรคนี้เกิดจากพยาธิ Dirofilaria immitis ซึ่งเป็นพยาธิชนิดเดียวกันกับพยาธิที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคพยาธิหนอนหัวใจ ในสุนัข แต่จากรายงานการวิจัยเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่า พยาธิชนิดนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและทำให้แมวตายอย่างปัจจุบันทัน ด่วนได้

แมวเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร     แมวสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยวิธีเดียวกับที่สุนัขเป็น ยุงคือพาหะของโรคพยาธิหนอนหัวใจ ด้วยการกัดกินเลือดจากสุนัขที่ป่วยด้วยโรคนี้ หลังจากนั้นจึงแพร่เชื้อ (ตัวอ่อนระยะติดต่อ)ไปยังสุนัข หรือแมวอีกตัวหนึ่ง เมื่อยุงไปกัดกินเลือด

แมวที่อยู่อย่างไร ที่ไหนจึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจ     ที่ใดก็ตามที่สุนัขมีความเสี่ยงต่อการติดโรค เช่น อยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของโรค หรือมีสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจอยู่ร่วมด้วยโดยไม่ได้รับการรักษา ทำให้เป็นตัวกักโรค สามารถเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้กับสุนัขและแมวตัวอื่นๆ ได้ แมวที่อยู่ภายในบ้านก็สามารถติดโรคนี้ได้เช่นกัน ในต่างประเทศพบว่าแมวกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่ร่วมกับสุนัข หรืออยู่ในบริเวณที่มีสุนัขป่วยด้วยโรคนี้มีความเสี่ยงที่จะติดโรคนี้ได้ สำหรับในประเทศไทยการรายงานพบโรคพยาธิหนอนหัวใจยังมีน้อย แต่สุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจมีมาก
อาการของโรคพยาธิหนอนหัวใจในแมวเป็นอย่างไร
 
   อาการของแมวที่พบว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจที่สามารถพบได้บ่อยได้แก่ :
          - ไอ
          - หายใจลำบาก
          - อาเจียน
          - เงื่องหงอย ซึม
          - น้ำหนักตัวลดลง

     อาการอื่นๆ ที่สามารถพบได้ :
          - หมดสติ
          - ชัก
          - ตายอย่างกระทันหัน (sudden death)

     อาการเหล่านี้อาจจะพบได้ในแมวที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ เหมือนกัน ที่ดีควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

โรคพยาธิหนอนหัวใจในแมวรักษาได้อย่างไร     ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจในแมว

มีวิธีการป้องกันการเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจในแมวได้อย่างไร     การป้องกันเป็นวิธีการที่ดีทีสุด ควรปรึกษาสัตวแพทย์

การติดต่อพยาธิหนอนหัวใจในแมว



    
โรคไข้หัดแมว 
     โรคนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคลำไส้อักเสบติดเชื้อไวรัสในแมว เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปและเกิดในแมวทุกอายุ แมวทุกตัวควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ เนื่องจากไม่สามารถระวังให้แมวไม่สัมผัสกับเชื้อโรคนี้ได้ โดยเชื้อนี้จะมีผลกับอวัยวะต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดอาการไข้ เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย แสดงสภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย ตัวสั่นและเดินไม่ตรง แมวอาจตายภายใน 1 สัปดาห์ ลูกแมวที่เป็นโรคนี้ 3 ใน 4 ตัวจะตาย แมวที่มีอายุเมื่อเป็นโรคนี้จะมีอัตราการตาย 50% ดังนั้นควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ในลูกแมวอายุ6-12สัปดาห์ และฉีดกระตุ้นซ้ำทุกปี ลูกแมวที่อายุน้อยกว่า 12 สัปดาห์ ควรฉีดวัคซีนนี้ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 2-3สัปดาห์


การควบคุมดูแลแมวที่มีอายุมากเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ 

ถ้าแมวที่มีอายุมีท่าทางว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ ของระบบต่างๆในร่างกายมากขึ้น อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากการมีอายุมากขึ้น หรืออาจจะเกิดจากการมีโรคเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งเหล่านี้จะช่วยเตือนให้รู้ว่าเป็นโรคได้แต่เนิ่นๆ ขบวนการ

          1. การควบคุมการกินอาหาร ว่าจะให้กินเมื่อใด กินอาหารประเภทไหน มีการกินหรือการกลืนลำบากหรือเปล่า และอาเจียนหรือไม่

          2. การควบคุมการกินน้ำ โดยดูว่ามีการกินน้ำมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติหรือไม่

          3. การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระโดยดูที่ สี ปริมาณ ความเข้มข้น ความถี่ในการขับถ่าย หรือดูว่ามีอาการเจ็บปวดขณะปัสสาวะหรืออุจจาระหรือไม่ หรือดูว่ามีการขับถ่ายเรี่ยราดหรือไม่

          4. ชั่งน้ำหนักทุกๆ 2 เดือน

          5. มีการตรวจและตัดเล็บ ตรวจดูแผลตามตัว รวมถึงกลิ่นที่ผิดปกต การขยายใหญ่ของช่องท้องและดูว่ามีอาการขนร่วงหรือไม่

          6. การควบคุมด้านพฤติกรรม ดูการนอน การแสดงออกต่อผู้คนรอบข้างมีอาการตกใจง่ายหรือไม่ และลักษณะท่าทางการนอนผิดปกติหรือไม่

          7. การควบคุมด้านท่าทางและการเคลื่อนไหว เช่นมีการชักหรือไม่ การสูญเสียการทรงตัว หรือเจ็บขา
          8. ดูความผิดปกติของการหายใจ หรือดูว่ามีการไอ มีการหอบหายใจ การจามหรือไม่

          9. ดูแลสุขภาพฟัน แปรงฟันให้แมวอย่างสม่ำเสมอ ดูว่ามีสิ่งผิดปกติในปากหรือไม่ ดูปริมาณน้ำลาย และดูลักษณะสีของเหงือกว่าเป็นสีเหลือง ชมพูหรือม่วง

          10. ควบคุมอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมว่าแมวของคุณมีความสุขสบายหรือไม่

          11. พาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ของคุณเป็นประจำ

ลักษณะอาการที่พบบ่อยและโรคที่เกี่ยวข้อง
     1. การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความเจ็บปวดจากข้ออักเสบหรือสภาวะอื่นๆ การสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน โรคตับ โรคไต โรค Hepatic lipidosis

     2. การอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การทำงานผิดปกติของ Mitral valve โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง โรคอ้อน โรคมะเร็ง

     3. การเปลี่ยนแปลงในด้านความกระตือรือร้นของร่างกาย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรค Hyperthyroidism โรคข้ออักเสบ ความเจ็บปวดต่างๆ ความอ้วน โลหิตจาง ความผิดปกติของ Mitral valve และโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง

     4. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความอ้วน

     5. น้ำหนักลด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็ง โรคไต โรคตับ โรคของระบบทางเดินอาหาร การกินอาหารลดลง Hyperthyroidism Hepatic lipidosis โรคฟัน ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ Mitral valve โรคหัวใจ การอักเสบของลำไส้

     6. การไอ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคหอบ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง

     7. การดื่มมากและปัสสาวะบ่อย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต Hyperthyroidism

     8. การอาเจียน โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคไต โรคตับและโรคของระบบทางเดินอาหาร

     9. อาการท้องเสีย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคของระบบทางเดินอาหาร การอักเสบของลำไส้ โรคไต โรคตับ และอาจเกิดจากการเปลี่ยนอาหารเร็วเกินไป

     10. การชัก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคลมชัก ( Epilepsy ) โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต

     11. อาการลมหายใจเหม็นผิดปกติ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคฟัน โรคมะเร็งในช่องปาก โรคไต

     12. อาการขาเจ็บ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การลุกลำบาก การเดินผิดปกติ ข้ออักเสบ ความอ้วน เบาหวาน

     13. การกลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือการถ่ายเรี่ยราด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การเป็นเนื่องจากข้ออักเสบ การอักเสบของลำไส้ Bladder stones โรคมะเร็ง

     14. อาการบวมและการกระแทก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ

     15. การเปลี่ยนความอยากของอาหาร โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต ความเครียดและความเจ็บปวดต่างๆ อาจเกิดจากฤทธิ์ของยา โรคปากและฟัน Hyperthyroidism และ Hepatic lipidosis


สาเหตุของการเกาและเลียในแมว      บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจโรคอันเป็นสาเหตุของการเกาและเลียในแมว อาการแพ้นั้นมีอยู่หลายโรค ที่เป็นสาเหตุให้แมวของคุณเกา เลีย ดึงขน หรือผิวหนังแดง เหล่านี้ได้แก่ โรคขี้เรื้อน โรคมะเร็ง ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมและการติดเชื้อ พร้อมด้วยการวินิจฉัยโรคและการรักษาได้ถูก สรุปไว้ดังแสดงในตารางด้านล่างต่อไปนี้










10 พันธุ์แมวที่สวยที่สุดในโลก


อันดับ 10

แมงซ์ (Manx)

แมวไม่มีหาง
แมวไม่มีหาง
แมวไม่มีหาง

แมวไม่มีหาง
แมวไม่มีหาง

อันดับ 9

อเมริกันขนสั้น (อังกฤษ: American Short Hair)

อเมริกันขนสั้น (อังกฤษ: American Short Hair) พันธุ์อเมริกันขนสั้น (อังกฤษ: American Short Hair) เป็นแมวที่ถูกนำมาจากยุโรปไปสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือ เมื่อครั้งมีการโยกย้ายถิ่นฐานของคนยุโรปไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ แมวถูกนำลงเรือไปเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากมันในการล่าหนูมิให้ทำลายข้าวของซึ่งที่นำไปด้วยนั้นมีหลายตัว และได้ผสมพันธุ์กันจนได้ลูกที่มีลักษณะเฉพาะออกมาให้เห็นอย่างปัจจุบัน เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวใหญ่โต มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ยาวขนาดปานกลาง ใบหูขนาดกลางและขอบเป็นทรงกลมมน หัวรูปไข่แต่มีคางที่ค่อนข้างใหญ่ชัดเจน ดวงตาแมวพันธุ์นี้กลมโต ขอบตาด้านนอกด้านบนจะโค้งลงมา สีของตาเป็นสีเขียว

แมวอเมริกันขนสั้น
แมวอเมริกันขนสั้น
แมวอเมริกันขนสั้น
แมวอเมริกันขนสั้น


อันดับ 8

ชอซี (Chausie)

ชอซี (Chausie) แมวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธ์
แมวชอซี
แมวชอซี
แมวชอซี
แมวชอซี


อันดับ 7

เทอร์คิชแองโกรา (Turkish Angora)

 เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตุรกี ที่ได้รับชื่อ Angora ต่อท้าย เนื่องจากเป็นแมวตุรกีขนยาวจากเมืองแองโกรานั่นเอง

แมวเทอร์คิชแองโกรา
แมวเทอร์คิชแองโกรา
แมวเทอร์คิชแองโกรา
แมวเทอร์คิชแองโกรา
แมวเทอร์คิชแองโกรา
แมวเทอร์คิชแองโกรา

อันดับ 6

แร็กดอลล์ (Ragdoll )

แร็กดอลล์มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาผ้า เวลาอุ้มขึ้นมาก็ทำตัวอ่อนเหมือนไม่มีกระดูก ขนบริเวณเอวแน่นฟู ที่สำคัญ แมวพันธุ์นี้คล้ายกับสวมถุงเท้าด้วยบริเวณเท้าจะด่างขาวดูเหมือนกับใส่ถุงเท้าอยู่ มีเสียงร้องที่เบามาก และเป็นแมวที่ชอบความเงียบ

แมวแร็กดอลล์
แมวแร็กดอลล์

แมวแร็กดอลล์
แมวแร็กดอลล์

อันดับ 5

ทอยเกอร์ (Toyger)

 เป็น แมวสายพันธุ์ หนึ่งที่ได้รับการพัฒนาผสมข้ามสายพันธุ์โดย Judy Sudgen แมว ทอยเกอร์ (Toyger) แมว ที่เหมือนเสือที่สุด

แมวทอยเกอร์
แมวทอยเกอร์

แมวทอยเกอร์
แมวทอยเกอร์

อันดับ 4

เปอร์เซียน (Persian)

 เปอร์เซียน เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรืออิหร่าน ถูกนำไปเลี้ยง ในประเทศต่าง ๆ ทั้งใน ยุโรปและอเมริกาเป็นเวลาเกือบร้อยปีมาแล้ว สำหรับประเทศไทยจัดเป็นแมวต่างประเทศ พันธุ์แรกที่ถูกนำมาเผยแพร่ เนื่องจากเป็นแมวที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน สุขุมเข้ากับคนง่าย มี ความร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจงและมีไหวพริบ

แมวเปอร์เซียน
แมวเปอร์เซียน

แมวเปอร์เซียน
แมวเปอร์เซียน

อันดับ 3

Ashera
 มีการผสมแมวพันธุ์ใหม่Asheraออกขาย ในราคาแพงลิบลิ่ว Ashera ราคาตัวละ เจ็ดแสนกว่า เมื่อคุณสั่งซื้อและจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ต้องรอเขาผสม และส่งให้ ในเวลา 9 ถึง 12 เดือน หากต้องการเร็วเขาก็จะลัดคิวให้ แต่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก เกือบ 2 แสน เขาก็จะส่งถึงบ้านเลย สรุปแล้วตัวละเกือบล้านทีเดียว ทางผู้ผสมพันธุ์เขาตั้งเป้าไว้ แค่ปีละ 100 ตัวทั่วโลก แต่ให้เฉพาะในอเมริกาก็ 50 ตัวแล้ว ที่เหลือ เศรษฐีประเทศต่างๆต้องแย่งกันเอาเอง

แมวพันธุ์Ashera
แมวพันธุ์Ashera

แมวพันธุ์Ashera
แมวพันธุ์Ashera

อันดับ 2

The Sandcat

เป็นแมวรูปร่างเล็กมีความยาวเกือบ 50 ซม. เติบโตในทะเลทราย สามารถอยู่รอดใน อุณหภูมิ ตั้งแต่ -5 องศา C (23 องศา F) 52 องศา C (126 องศา F)

แมว แซนแคท
แมว แซนแคท

แมว แซนแคท
แมว แซนแคท

อันดับ 1

สก็อตทิช โฟลด์(Scottish Fold)

เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดมาจากสกอตแลนด์ เป็นแมวขนาดกลาง ศีรษะกลม หูพับหรือตั้ง บางตัวหูจะพับเพียงครึ่งเดียว พับ 2 ส่วนหรือพับ 3 ส่วน จะมีทั้งขนสั้นและขนยาว ลักษณะของหัวเพศผู้จะมีลักษณะกลมโตกว่าหัวของตัวเมีย สำหรับอุปนิสัยจัดเป็นแมวที่มีความสุภาพ เรียบร้อย ไม่ซน อารมณ์ดี ขี้เล่น มีความกระตือรือร้น ชอบคลอเคลีย, ขี้อ้อนและขี้ประจบเจ้าของ

แมวสก็อตทิช โฟลด์
แมวสก็อตทิช โฟลด์

แมวสก็อตทิช โฟลด์

แมวสก็อตทิช โฟลด์
แมวสก็อตทิช โฟลด์

แมวสก็อตทิช โฟลด์

แมวสก็อตทิช โฟลด์
แมวสก็อตทิช โฟลด์